tag:blogger.com,1999:blog-17814021676534162352024-03-12T19:13:42.517-07:00Neena" เทคโนโลยีก้าวไกล ศึกษาได้ไม่จำกัด สร้างสรรค์โลกทัศน์ พัฒนาสู่สากล "นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.comBlogger6125tag:blogger.com,1999:blog-1781402167653416235.post-69952365442311827872007-10-09T00:48:00.000-07:002007-10-09T00:48:45.572-07:00<div align="left"><span ><span style="color:#333333;">เนื้อหาบทเรียน </span><br /></span><span style="color:#333333;"><br /></span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neea.doc"><span style="color:#3366ff;"><span >หน่วยที่ 1 <span style="color:#ff0000;">ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสื่อการเรียนการสอน</span></span></span></a></div><br /><div align="left"><span ></span></div><div align="left"><span >........1.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeaa.doc"><span >ความหมาย ประเภท ของสื่อการเรียนการสอน </span></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;"><span >สื่อการเรียน หมายถึง เครื่องมือ ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่จะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เร้าความสนใจผู้เรียนรู้ให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจดีขึ้น อย่างรวดเร็ว </span></span></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">........1.2 คุณค่า และประโยชน์ของสื่อการเรียนการสอน<br />........</span>1.3 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeab.doc"><span >หลักการเลือกและการใช้สื่อการเรียนการสอน </span></a></div><br /><div align="left"><span ><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 2</span> </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neebd.doc"><span style="color:#ff0000;">จิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสื่อการเรียนการสอน</span></a></div><br /><div align="left"><span ></span></div><div align="left"><span >........2.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeba.doc"><span >จิตวิทยาการรับรู้</span></a><span > </span></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">จิตวิทยาการรับรู้ (Perception)<br />การรับรู้ เป็นเหตการณ์ความรู้สึกที่เป็นผลจากกิจกรรมของเซลล์ประสาทสมอง เป็นลักษณะหนึ่งของจิต ไม่ใช่จิตทั้งหมด จัดเป็นประเภทอสสาร สามารถ Observe หรือ Experienceได้ด้วยวิธีพินิจภายใน(Introspection)<br /></span>........2.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neebb.doc"><span >จิตวิทยาการเรียนรู้ </span></a></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">จิตวิทยาการเรียนรู้ (Psychology of Learning ) เป็นการศึกษาธรรมชาติการเรียนรู้ และองค์ประกอบต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้</span><br />........2.3 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neebc.doc"><span >จิตวิทยาพัฒนาการ</span></a><span > </span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgFPLKybT8OCNejp7YSh4KyiWKGAkrJhhAIfmitzdAKg7FhO8IqSebuy0ub1xebsqzBWjIZGRMJP0w1nGsJcOZBQWIJPy-yLM9LKij-4majaa00V_AJCkHMFkuwdRY_OofkA_aqtUSK6kKB/s1600-h/DSC07854.JPG"></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;">จิตวิทยาพัฒนาการ ( Developmental )เป็นการศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการด้านต่างๆ ของมนุษย์ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา </span></div><br /><div align="left"><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 3 </span><span ><span style="color:#ff0000;">การสื่อสาร</span><br /></span></div><div align="left"><span style="color:#ff0000;"></span><br /><span >........3.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeca.doc"><span >ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร </span></a></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">ระบบสื่อสารข้อมูลมีองค์ประกอบพื้นฐาน คือ ผู้ส่งสาร (Sender) คือ แหล่งข้อมูลเริ่มต้น ข้อมูลข่าวสาร ได้แก่ บุคคล สื่อมวลชน สาร หรือข้อมูล (Message) คือ เรื่องราวที่ต้องการให้ผู้อื่นได้รับรู้ มีความหมาย และ สาระสำคัญเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง ที่ผู้ส่งต้องการสื่อไปยังผู้รับสาร อาจอยู่ในรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ข้อความ ท่าทาง การแสดงสีหน้า คำพูด น้ำเสียง การสัมผัส เป็นต้น<br /></span>........3.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neec.doc"><span >รูปแบบของการสื่อสาร</span></a><span > </span></div><div align="left"><span style="color:#000000;">เป็นการสื่อสารของ สัตว์ บุคคล การตลาด การชวนเชื่อ การประชาสัมพันธ์ การสื่อสารข้ามวัฒนธรรม กิจการสาธารณะ เป็นต้น</span></div><div align="left"><span >.......3.3 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neecb.doc"><span >แบบจำลองของการสื่อสาร</span></a><span > </span></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">ในการสื่อสาร เราไม่อาจสื่อสารให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันได้ หากขาด ตัวกลาง (Medium) ในการสื่อสาร ในเรื่องนี้ผู้ส่งสารจะทำ สาร (Message) ให้เป็น รหัส (Code) ด้วยการ เข้ารหัส (Encode) เสียก่อน รหัส ของสาร (Message Code) ได้แก่สัญลักษณ์ที่มีความหมาย และเป็นที่เข้าใจ กันได้<br /></span>........3.4 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neecc.doc"><span >การสื่อสารกับกระบวนการเรียนการสอน </span></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;"><span >รูปแบบกระบวนการสื่อสารของเบอร์โล เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง เรียกว่า S.M.C.R.Process Model ได้ถูกนำมาใช้เป็นพื้นฐานของทฤษฎีการเรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้เป็นหลักการพื้นฐานของเทคโนโลยี การศึกษาได้เป็นอย่างดี </span></span></div><br /><div align="left"><span ><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 4</span> </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/need.doc"><span style="color:#ff0000;">การออกแบบสื่อการเรียนการสอน </span></a></div><br /><div align="left"><span >........4.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/needa.doc"><span >ความหมายของการออกแบบสื่อการเรียนการสอน </span></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;">สื่อการสอน คือ การนำสื่อมาใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งเป็นการนำวัสดุ เครื่องมือและวิธีการมาประกอบในการถ่ายทอดความรู้และเนื้อหาไปยังผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความรู้ในสิ่งที่ครูได้ถ่ายทอด รวมไปถึงมีความเข้าใจตรงตามเนื้อหา นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้ง่ายยิ่งขึ้น และช่วยประหยัดเวลา </span></div><div align="left"><span >........4.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/needb.doc"><span >วิธีระบบกับการออกแบบสื่อการเรียนการสอน </span></a></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">เป็นวิธีการนำเอาผลที่ได้ ซึ่งเรียกกันว่า ข้อมูลย้อนกลับ (Feed Back) จากผลผลิตหรือการประเมินผล มาพิจารณาปรับปรุงแก้ไข่ ระบบให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การพิจารณาแก้ไขนั้นอาจจะแก้ไขสิ่งที่ป้อนเข้าไปหรือที่ขบวนการก็แล้วแต่เหตุผลที่คิดว่าถูกต้อง แต่ถ้าปรับปรุงแล้วอาจจะได้ผลออกมาไม่เป็นที่พอใจอีกก็ต้องนำผลนั้นมาปรับปรุงแก้ไขใหม่ ต่อเนื่องกันไป จนเป็นที่พอใจ ฉะนั้นจะเห็นว่าวิธีระบบเป็นขยายการต่อเนื่องและมีลักษณะเช่นเดียวกันวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งของการวิเคราะห์ระบบ ก็คือ บุคคลที่จะทำการวิเคราะห์ระบบนั้น ควรจะเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบมาพิจารณาร่วมกัน</span><br />........4.3 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/needc.doc"><span >การสร้างแบบจำลองการออกแบบสื่อการเรียนการสอน</span></a><span > </span></div><div align="left"><span style="color:#000000;">แบบจำลองเชิงนามธรรม เชิงแนวคิด หรือแบบจำลองที่เป็นซอฟต์แวร์ เช่น </span><a title="แบบจำลองคณิตศาสตร์" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit"><span style="color:#000000;">แบบจำลองคณิตศาสตร์</span></a><span style="color:#000000;"> แบบจำลองวิทยาศาสตร์ </span><a title="แบบจำลองคอมพิวเตอร์" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C&action=edit"><span style="color:#000000;">แบบจำลองคอมพิวเตอร์</span></a><span style="color:#000000;"> </span><a title="ทฤษฎีการสร้างแบบจำลอง" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%97%E0%B8%A4%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%87&action=edit"><span style="color:#000000;">ทฤษฎีการสร้างแบบจำลอง</span></a><span style="color:#000000;"> แบบจำลองความคิด เป็นต้น แบบจำลองเชิง</span><a title="นามธรรม" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸²à¸¡à¸à¸£à¸£à¸¡"><span style="color:#000000;">นามธรรม</span></a><span style="color:#000000;"> หรือแบบจำลองเชิงแนวคิด เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นเชิงทฤษฎีเพื่อแทนกระบวนการเชิงสังคม เชิงชีววิทยา หรือ เชิงฟิสิกส์ ด้วย</span><a title="เซต" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¹à¸à¸"><span style="color:#000000;">เซต</span></a><span style="color:#000000;">ของตัวแปรและเซตของ</span><a title="ความสัมพันธ์" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C&action=edit"><span style="color:#000000;">ความสัมพันธ์</span></a><span style="color:#000000;">ระหว่างตัวแปรเหล่านั้นทั้งเชิง</span><a title="ตรรก" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸£à¸£à¸"><span style="color:#000000;">ตรรก</span></a><span style="color:#000000;"> และ เชิงปริมาณ แบบจำลองจะถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงเหตุผลภายใน</span><a title="กรอบงาน" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99&action=edit"><span style="color:#000000;">กรอบงาน</span></a><span style="color:#000000;">เชิงตรรกใน</span><a title="อุมดมคติ" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4&action=edit"><span style="color:#000000;">อุมดมคติ</span></a><span style="color:#000000;">ของ</span><a title="กระบวนการ" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3&action=edit"><span style="color:#000000;">กระบวนการ</span></a><span style="color:#000000;">ต่าง ๆ ซึ่งสำคัญต่อ</span><a title="ทฤษฎี" href="http://th.wikipedia.org/wiki/à¸à¸¤à¸©à¸à¸µ"><span style="color:#000000;">ทฤษฎี</span></a><span style="color:#000000;">ทาง</span><a title="วิทยาศาสตร์" href="http://th.wikipedia.org/wiki/วิà¸à¸¢à¸²à¸¨à¸²à¸ªà¸à¸£à¹"><span style="color:#000000;">วิทยาศาสตร์</span></a><span style="color:#000000;">โดยแบบจำลองเป็นสิ่งที่ทำให้</span><a title="สมมติฐาน" href="http://th.wikipedia.org/w/index.php?title=%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%90%E0%B8%B2%E0%B8%99&action=edit"><span style="color:#000000;">สมมติฐาน</span></a><span style="color:#333333;"><span ><span style="color:#000000;">ต่าง ๆชัดแจ้งขึ้น ว่าถูกหรือผิดในรายละเอียด</span> </span></span></div><span style="color:#333333;"><br /><div align="left"></span><span ><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 5</span> </span><span style="color:#ff0000;">การผลิตสื่อกราฟิก</span></div><br /><div align="left"><span style="color:#ff0000;"></span></div><div align="left"><span >........5.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeb.doc"><span >ความหมาย และคุณค่าของสื่อกราฟิก </span></a><br /></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">ความหมายและคุณค่าของสื่อกราฟิก<br />สื่อกราฟิก หมายถึง การอธิบายด้วยภาพประกอบข้อมูลต่างๆเพื่อให้เกิดความเข้าใจ<br />ประเภทของสื่อกราฟิก<br />1.การออกแบบ สัญลักษณ์ต่างๆ<br />2.การออกแบบและจัดทำแผนภูมิ แผนภาพ แผนสถิติ<br />3.การวาดภาพอวัยวะ และระบบต่างๆของร่างกายมนุษย์ ได้แก่ ระบบกระดูก ระบบกล้ามเนื้อ เป็นต้น<br /></span>........5.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeea.doc"><span >การใช้สีกับสื่อการเรียนการสอน </span></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;">ความเข้าใจในเรื่องของสีเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้งานออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์มีความสดใสสวยงาม น่าสนใจ และมีบทบาทในการสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง เหมาะและมีคูณภาพอีกด้วย ดั้งนั้น การเลือกใช้สีควรจะได้ศึกษา</span></div><div align="left"><span style="color:#3366ff;"><span ><span style="color:#000000;">........5.3 <span style="color:#3333ff;">เ</span></span><span style="color:#3333ff;">ขียนภาพการ์ตูน</span></span></span></div><div align="left"><span style="color:#000000;">สำหรับเด็กนั้นโดยมากมักนิยมเขียนภาพสัตว์ด้วยฝีมือมายา คือจงใจให้ผิดเพี้ยนไปจากของจริงมากมายเกินกว่าปกติ ดูเสมือนว่าเขียนออกมาอย่างหยาบๆ ง่ายๆ แต่ช่างเขียนนั้นเขียนขึ้นโดยความยากลำบากทั้งนั้นทุกรูป แต่เขาจงใจให้มองดูเขียนขึ้นอย่างลวกๆ การให้สีหนังสือเดกมักใช้สีฉูดฉาดบาดตา ภาพการ์ตูนสำหรับเด็กอีกระดับหนึ่ง หมายถึงระดับเด็กอายุ ๑๑ - ๑๖ ปี ระยะนี้การ์ตูนประกอบเรื่องจะต้องมีความปราณีต ขบขัน สวยงาม ตลอดจนกระทั่งฝีมือในการเขียนภาพประกอบจะต้องดีพอ จึงจะสามารถดึงดูดเด็กในวัยนี้ให้สนใจได้ สีสันของภาพประกอบต้องนุ่มนวลมากขึ้น เพราะเด็กนักเรียนวัยนี้เป็นวัยที่รู้ความใสวยงามของธรรมชาติและสัตว์ได้เป็นส่วนใหญ่ ฉะนั้นภาพประกอบหนังสือสำหรับเด็ก ๑๑ - ๑๖ ขวบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ช่างจะต้องระดมความเพียรในการเขียนภาพประกอบหนังสือให้เขาด้วยความรู้สึกนึกคิดที่สุขุมรอบคอบอย่างยิ่งเป็นพิเศษ เด็กระยะนี้กำลังจะถึงระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตความ</span></div><div align="left"><span >........5.4 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeec.doc"><span >การออกแบบตัวอักษรหัวเรื่อง </span></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;">ตัวอักษรมนุษย์ได้ประดิษฐ์ขึ้นตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ตอนต้น ตัวอักษรสร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อทางการติดต่อ ตัวอักษรสมัยโบราณส่วนมากจะวิวัฒนาการมาจากภาพ เช่น อักษรของอียิปต์ ชื่อว่าอักษรไฮเออโรกลิฟิค (Hieroglyphic) ประมาณ 6,000 ปีล่วงมาแล้ว ยังมีอักษรที่เรียกว่า “อักษรลิ่ม” (Cuneiform) ของชาวซูเมอร์เรียน ซึ่งมีความเก่าแก่เท่า ๆ กันกับอักษรของอียิปต์โบราณ ระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นเอง ในทวีปเอเซีย ประเทศจีน และอินเดีย ก็ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นใช้ </span></div><br /><div align="left"><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 6 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neef.doc"><span ><span style="color:#ff0000;">การสร้างสื่อราคาเยา</span> </span></a><br /></div><div align="left"><span ></span></div><br /><div align="left"><span ></span></div><div align="left"><span >........6.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neefa.doc"><span >ความหมาย คุณค่า และประโยชน์ของสื่อราคาเยา </span></a></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">สื่อราคาเยานอกจากจะหมายถึง สื่อที่มีราคาถูกแล้วยังหมายถึงสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติไม่ต้องซื้อหาด้วยราคาแพง สิ่งที่ครูคิดประดิษฐ์ขึ้นด้วยวัสดุราคาถูก หรือหาได้ง่าย รวมถึงสื่อสิ่งของได้เปล่าจากการแจกจ่ายเผยแพร่ของหน่วยงาน<br /></span>........6.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neefb.doc"><span >หลักการออกแบบและการสร้างสื่อราคาเยา </span></a></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;">ตัวอย่างการเลือกสื่อการสอนที่พบเห็นได้เสมอ เช่นครูสอนคณิตศาสตร์เกี่ยวกับการนับจำนวน การบวก การลบ และต้องการวัสดุเป็นชิ้น ๆ ก้อน ๆ จำนวนหนึ่ง เพื่อให้นักเรียนได้ลงมือนับจำนวน แทนที่ครูจะนึกถึงก้อนดิน หิน หรือวัสดุอื่นอีกมาก ที่หาได้ไม่ยากในท้องถิ่น มาให้นักเรียนนับ แต่ครูกลับนึกถึงก้อนแม่เหล็กเป็นอันดับแรก และพยายามเรียกร้องให้มีการจัดซื้อกระดานแม่เหล็กมาใช้สอนนับจำนวน กรณีเช่นนี้เราได้นับจำนวนก้อนหินดูจะก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้มากกว่าการนับชิ้นส่วนบนกระดานแม่เหล็กเสียอีก ถ้าก้อนหินหาได้ง่ายนักเรียนทุกคนสามารถหามาได้ง่าย เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่</span><br />........6.3 <span style="color:#3366ff;"><span style="color:#3333ff;">วัสดุกับเทคนิคการออกแบบ</span> </span></span></div><div align="left"><span ></span></div><div align="left"><span >........6.4 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neefc.doc"><span >การประเมินสื่อการสอนราคาเยา </span></a></div><div align="left"><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neefc.doc"><span style="color:#000000;"><span >การประเมินสื่อการเรียนการสอนราคาเยา1. ความจำเป็นด้านเศรษฐกิจของชาติ ในข้อนี้นักศึกษาตลอดถึงครูผู้สอน ผู้บริหารการศึกษาทั้งหลายย่อมทราบและตระหนักกันอยู่แล้วว่าประเทศของเรา เป็นประเทศกำลังพัฒนาหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการลงทุน เพื่อการพัฒนาไปเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ ต้องกู้เงินจากต่างประเทศปีละมาก ๆ ต้องจ่ายเงินกลับให้ต่างชาติรวมเงินต้นและดอกเบี้ยในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล ในด้านการศึกษาเองก็มีโครงการที่กู้เงินจากต่างประเทศมาดำเนินการอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อสภาพการณ์ เป็นเช่นนี้ การพิจารณาจัดหาสื่อหรือ เทคโนโลยีการศึกษามาใช้จึงควรคำนึงถึงเรื่องการประหยัดไว้ให้มาก </span></span></a></div><br /><div align="left"><span ><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 7</span> </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeg.doc"><span ><span style="color:#ff0000;">การผลิตสื่อการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์</span> </span></a></div><br /><div align="left"><span >........7.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neega.doc"><span >คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)</span></a><span > </span></div><div align="left"><span ><span style="color:#000000;"><span style="color:#000000;">CAI ย่อมาจากคำว่า COMPUTER-ASSISTED หรือ AIDED INSTRUCTIONคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) หมายถึง สื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่ง ซึ่งใช้ความสามารถของคอมพิวเตอร์ในการนำเสนอสื่อประสมอันได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ กราฟ วิดีทัศน์ ภาพเคลื่อนไหว และเสียง เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาบทเรียน หรือองค์ความรู้ในลักษณะที่ ใกล้เคียงกับการสอนจริงในห้องเรียนมากที่สุดโดยมีเป้าหมายที่สำคัญก็คือ สามารถดึงดูดความสนใจของผู้เรียน และกระตุ้นให้เกิดความต้องการที่ จะเรียนรู้ คอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็นตัวอย่างที่ดีของสื่อการศึกษาในลักษณะตัวต่อตัว ซึ่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หรือการโต้ตอบพร้อมทั้งการได้รับผลป้อนกลับ (FEEDBACK) นอกจากนี้ยังเป็นสื่อ ที่สามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างผู้เรียนได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสามารถที่จะประเมิน และตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนได้ตลอดเวลา</span><br /></span>........7.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neegb.doc"><span >การใช้เครือข่ายเพื่อการเรียนการสอน </span></a></div><div align="left"><span style="color:#000000;">ตามกระแสการเปลี่ยนสังคมที่ต้องมีความรู้ใหม่เป็นหลักฐานการเรียนรู้เทคโนโลยีและการเก็บความรูั้ใหม่จึงเป็นสิ่งที่ เราขาดไม่ได้ สถาบันการศึกษาและครูมีบทบาทมากขึ้นเพราะต้องเตรียมการเรียนการสอนเพื่อส่งนักเรียนให้เข้าทำงาน ในสังคมใหม่ สมาคม APEC เพื่อการศึกษาทางอินเตอร์เนตจัดทำไว้เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าวของนักเรียน และครู<br />เมื่อต้นปี 2001 มูลนิธิการศึกษา APEC รับเสนอโครงการทำกิจกการที่จะทำให้ลดความต่างระดับการศึกษา เทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและดิจิตอล ทั้งนี้เพื่อมูลนิธิการศึกษา APEC จะสนับสนุนทางด้านงบประมาณให้ ทั้งหมด 79 สถาบันเสนอโคงการมา และในที่สุด 4 สถาบันได้รับการคัดเลือกเป็นสถาบันที่จะได้รับงบประมาณมูลค่า 60 ล้านดอลล่า สหรัฐ แต่เนื่องจากโครงการของสถาบันดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกันมากมูลนิธิการศึกษา APEC จึงเสนอให้สถาบัน ดังกล่าวจัดเป็นสมาคม (consortium) เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำกิจการ </span></div><br /><p><span ><span style="color:#3366ff;">หน่วยที่ 8</span> </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeh.doc"><span ><span style="color:#ff0000;">การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์</span> </span></a></p><p><span >........8.1 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neeha.doc"><span >ความหมาย คุณค่า และประโยชน์ของสื่อสิ่งพิมพ์ </span></a></p><p><span ><span style="color:#000000;">การสร้างสรรค์งานสิ่งพิมพ์ ในรูปแบบต่างๆ ต้องทำความรู้จักกับรายละเอียดเบื้องต้นที่จำเป็นก่อน โดยการบวนการผลิตงานสิ่งพิมพ์จะประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ เช่น การจัดเตรียมไฟล์งาน การจัดการกับรูปภาพ การเลือกกระดาษ การออกแบบรูปลักษณ์ หรือรูปเล่ม การจัดหน้า เพื่อให้ใด้ผลงานตามรูปแบบที่ต้องการ<br /></span>........8.2 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neehb.doc"><span >ประเภทของสื่อสิ่งพิมพ์ </span></a></p><p><span ><span style="color:#000000;">นิตยสาร(Magazine) มีลักษณะ ดังนี้<br />1. มีระยะเวลาเผยแพร่แน่นอน<br />2. เป็นหนังสือเย็บเล่ม<br />3. มีเนื้อหาหลากหลาย/เฉพาะกลุ่ม<br />4. ดำเนินงานเป็นองค์กร<br />5. ถ้าเกี่ยวกับวิชาการมักเรียกว่า วารสาร<br />(Journal<br /></span>........8.3 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neehc.doc"><span >ระบบการพิมพ์ </span></a></p><p><span style="color:#000000;">ในโลกนี้มีอยู่หลายอย่างค่ะ แต่ที่จะแนะนำนี่เป็นระบบที่นิยมใช้ในบ้านเรา<br />1. ระบบออฟเซ็ตระบบออฟเซ็ต เป็นระบบที่นิยมใช้กันมากที่สุด สมุดหนังสือ ใบปลิว โปสเตอร์ ใบเสร็จ ล้วนแต่พิมพ์ด้วยระบบนี้ทั้งนั้น เพราะพิมพ์ได้สวยงาม พิมพ์ภาพได้ดี พิมพ์สี่สีก็สวย เหมาะสำหรับงานที่ยอดพิมพ์สูงๆ ควรจะหลายพันหรือเป็นหมื่นขึ้นไปจึงจะคุ้ม เพราะแม่พิมพ์มีราคาแพง พิมพ์สิบใบก็ได้ แต่ราคาต่อใบจะสูงมาก<br />2. ระบบซิลค์สกรีนการพิมพ์ซิลค์สกรีนพิมพ์ภาพได้ไม้ค่อนดี เหมาะกับงานลายเส้น งานที่มียอดพิมพ์น้อย งานพิมพ์บนวัสดุที่พิมพ์ยาก เช่น สติกเกอร์ ไม้ แก้ว หนัง ผ้าและแผ่นซีดีอะไรพวกนี้แหละค่ะ อ้อ ... นิยมใช้พิมพ์นามบัตรด้วยคะ เพราะนามบัตรยอดพิมพ์น้อย </span><span ><span style="color:#000000;">3. การพิมพ์โรเนียวแบบดิจิตอล<br /></span>........8.4 </span><a href="http://comedu.saiyaithai.org/s484144021/neehc.doc"><span >การเลือกและการใช้สื่อสิ่งพิมพ์เพื่อการเรียนการสอน</span></a><span > </span></p><p><span style="color:#000000;">การพิมพ์จึงเป็นวิธีการหนึ่งในการนำมาใช้ผลิตสำเนาเอกสารทางวิชาการซึ่งต้องการปริมาณมาก เช่น หนังสือ ตำราต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอน หรือเพื่อใช้เป็นคู่มือ เป็นตำราในการค้นคว้าอ้างอิง ทั้งยังช่วยในการเผยแพร่ ความคิดทางด้าน วิทยาการต่าง ๆ ให้เจริญก้าวหน้าอีกด้วย ในการให้การศึกษาจำเป็นต้องมีเอกสารประกอบการเรียนการสอน เพื่อขยายความรู้และทฤษฎีต่าง ๆ ให้กว้างขวางขึ้น </span></p><br /><br /><br /><div align="center"><span style="color:#000000;"></span></div><br /><div align="center"><span >........................................</span></div><br /><div align="center"><span ></div><br /></span><div align="center"><br /><br /><span ><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5103414178205171202" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 94px; CURSOR: hand; HEIGHT: 133px; TEXT-ALIGN: center" height="215" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOot5yNOUZJuq7Ce-GPyvCJbINP5uC0yg73U4ahUGkk33MOYJUjA6YhvHby5X2aE80SEl7DVrA4YnT8FAsridboOCPpOX0es_6eibNke1l5LEQKqMlZp-zQKc4emcvqd_F5zm7FmwUo-26/s320/4523_20070724182433.jpg" width="72" border="0" /><br /><br /></span></div><br /><p><span ></span></p>นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1781402167653416235.post-17324704329198395072007-10-09T00:45:00.001-07:002007-10-09T00:45:41.067-07:00มารู้จัก CAI<span style="color:#000000;"><span style="color:#ff0000;">ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน</span><br /><br />เนื่องจากความนิยมแพร่หลายมากขึ้นของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในปัจจุบัน จึงอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า การนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเข้ามาใช้ในการเรียนการสอน เป็นแนวคิดใหม่ซึ่งเกิดขึ้นมาไม่มากนัก สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีแนวคิดในการนำคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเข้าไปใช้ในโรงเรียน ตั้งแต่ พ.ศ.2525-2530 การพัฒนาของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในประเทศไทยเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องนัก เนื่องจากปัญหาทางด้านต่างๆ ในที่นี้จะกล่าวถึงประวัติความเป็นมา ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นพัฒนาการระยะต่างๆ<br /><br /><span style="color:#ff0000;">ประโยชน์ CAI</span><br /><br />ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทต่อการเรียนการสอนมาก โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว เพราะสามารถนำมาใช้เป็นสื่อในการสอน หรือจะใช้เป็นสื่อช่วยในการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้<br />1. ผู้เรียนเรียนได้ตามความช้าเร็วของตนเอง ทำให้สามารถควบคุมอัตราเร่งของการเรียนได้<br />2. การตอบสนองที่รวดเร็วของคอมพิวเตอร์ ทำให้ผู้เรียนได้รับการเสริมแรงที่รวดเร็ว<br />3. สามารถเอาเสียงดนตรี สีสัน กราฟิก และภาพเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้ดูเหมือนของจริงและน่าเร้าใจ<br />4. ครูผู้สอนสามารถควบคุมการเรียนของผู้เรียนได้ เพราะคอมพิวเตอร์จะบันทึกการเรียนของผู้เรียนแต่ละ บุคคลไว้<br />5. ความใหม่แปลกของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มความสนใจความตั้งใจของผู้เรียนมากขึ้น<br />6. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพ คือ ในแง่ที่ลดเวลา ทุ่นแรงผู้สอนและประสิทธิผล แง่ที่ทำให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมาย<br />7. ด้านความรู้สึก ผู้เรียนมีความรู้สึกว่าตนเองกำลังเรียนหรือกำลังพูดคุยกับใครคนหนึ่งที่มีความรู้สึก มี อารมณ์ขันมีความชอบไม่ชอบใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เรียนเกิดความอยากจะเรียนอยากทราบว่า เฟรมต่อไป จะเป็นอะไรถามว่าอย่างไรจะชมหรือติอย่างไร<br />8. บทเรียนคอมพิวเตอร์ดีกว่าสื่ออื่นในด้านความสามารถปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน<br />9. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยให้เกิดการเรียนรู้ในลักษณะการเรียนรู้รายบุคคลได้ดีสนองความต้องการระหว่างบุคคล เพราะผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความต้องการของตนเอง<br />10. ความประหยัดในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการลงทุนเพียงครั้งเดียวสามารถใช้งานได้หลายครั้ง เป็นเวลายาวนานและถูกมากในการทำสำเนาบทเรียน 11. สามารถเก็บบันทึกผลการเรียนของผู้เรียนได้ง่าย<br />12. ให้โอกาสในการสร้างสรรค์และพัฒนาวัตกรรมสำหรับหลักสูตร และวัสดุการศึกษา<br />13. เพิ่มวิชาสอนตามความต้องการของนักเรียน<br />14. ช่วยให้มีเวลาสำหรับตรวจสอบและพัฒนาหลักสูตร ตามหลัก<br />15. ช่วยเพิ่มวัตถุประสงค์ของการสอนได้เท่าที่จะเป็นไปได้ เช่น การฝึกฟังดนตรี ฯลฯ<br />16. เร้าความสนใจของผู้เรียน เพราะนำเสนอได้ทั้งภาพและเสียง ตลอดจน มีการเสริมแรงให้ผลย้อนกลับ ในทันที เมื่อผู้เรียนตอบคำถาม<br />17. ช่วยแบ่งเบาภาระของครูผู้สอน<br /><br /><span style="color:#ff0000;">CAI กับการเรียนรู้ของคนไทย<br /></span><br /></span><span style="color:#000000;">CAIมาจากคำว่า"ComputerAidedInstruction"หรือบางแหล่งอาจจะใช้คำว่า"Computer AssistedInsturction"โดยมีการใช้คำในภาษาไทยว่า"สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน" เป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยนำเอาสื่อคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการนำเสนอเนื้อหา เรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) ซึ่งก็คือ สามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้จริงๆ แล้วคำว่า "คอมพิวเตอร์ช่วยสอน" ไม่ได้มีความหมายที่ CAI แต่ยังรวมถึงคำอื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ไม่ว่าจะเป็นคำใด ต่างก็มีลักษณะสำคัญ 4 ประการ ได้แก่ Information ต้องมีเนื้อหาสาระสำคัญ Individualized ต้องตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล Interactive ต้องมีการโต้ตอบระหว่างผู้ใช้กับบทเรียนได้ Immediate Feedback ต้องให้ผลย้อนกลับ<br />โดยทันทีเหตุผลสำคัญที่มีการนำเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอนในรูปของ CAI ได้แก่ เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว ประเมินการตอบสนองของผู้เรียนได้แก่ การตัดสินคำตอบให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัล หรือ คะแนนให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าในลำดับต่อไปดังนั้นสามารถสรุปประโยชน์ของ CAI ได้ดังนี สร้างแรงจูงใจในการเรียนรู้ ดึงดูดความสนใจ โดยใช้เทคนิคการนำเสนอด้วยกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว แสง สี เสียง สวยงามและเหมือนจริง ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และสามารถเข้าใจเนื้อหาได้เร็ว ด้วยวิธีที่ง่ายๆ<br />ผู้เรียนมีการโต้ตอบ ปฏิสัมพันธ์กับคอมพิวเตอร์ และบทเรียนฯ มีโอกาสเลือก ตัดสินใจและได้รับการเสริมแรงจากการได้รับข้อมูลย้อนกลับทันที ช่วยให้ผู้เรียนมีความคงทนในการเรียนรู้สูง เพราะมีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง ซึ่งจะเรียนรู้ได้จากขั้นตอนที่ง่ายไปหายากตามลำดับ ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความสนใจ และความสามารถของตนเอง บทเรียนมีความยืดหยุ่น สามารถเรียนซ้ำได้ตามที่ต้องการ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่อคนเอง ต้องควบคุมการเรียนด้วยตนเอง มีการแก้ปัญหา และฝึกคิดอย่างมีเหตุผล สร้างความพึงพอใจแก่ผู้เรียน เกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน สามารถรับรู้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ได้อย่างรวดเร็ว เป็นการท้าทายผู้เรียน และเสริมแรงให้อยากเรียนต่อให้ครูมีเวลามากขึ้นที่จะช่วยเหลือผู้เรียนในการเสริมความรู้ หรือช่วยผู้เรียนคนอื่นที่เรียนก่อน ประหยัดเวลา และงบประมาณในการจัดการเรียนการสอน โดยลดความจำเป็นที่จะต้องใช้ครูที่มีประสบการณ์สูง หรือเครื่องมือราคาแพง เครื่องมืออันตราย ลดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างโรงเรียนในเมือง และชนบทเพราะสามารถส่งบทเรียนฯไปยังโรงเรียนชนบทให้เรียนรู้ได้ด้วย<br /><br /></span>นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1781402167653416235.post-78960770673599045742007-10-07T11:22:00.000-07:002007-10-07T11:22:02.562-07:00การจัดลำดับความสำคัญ เพื่อผลสำเร็จ<span style="color:#000000;">การจัดลำดับความสำคัญเป็นหน้าที่ที่สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องจัดแจงโดยด่วน นับว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยควบคุมตัวคุณให้ดูแลรับผิดชอบงานได้ดีขึ้น เพื่อที่จะจัดลำดับความสำคัญได้อย่างมีประสิทธิผลนั้น คุณต้องเรียนรู้ความแตกต่างระหว่างสิ่งต่อไปนี้เสียก่อน นั่นคือ ความสำคัญ ความเร่งด่วนและความไม่จำเป็นนัก แต่ดูเหมือนว่าทุกสิ่งอย่างเร่งด่วนและต้องทำก่อนเป็นสิ่งแรกตลอดเวลา แต่ก็ไม่จำเป็นต้องขนาดนั้น หาก คุณไม่มีการวางแผนและการจัดลำดับความสำคัญที่ดีไว้ก่อน ซึ่งสถานการณ์ด่วนจี๋เหล่านั้น จะกลายเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยเลยทีเดียว ขั้นตอนแรกในการจัดลำดับความสำคัญก็คือ คุณต้องเลือกงานทั้งหลายในมือมาพิจารณาว่างานใดจะต้องทำในวันรุ่งขึ้นบ้าง งานเหล่านี้จะมาจากรายการหลักทั้งหมดและงานใหม่ที่เกิดขึ้นในระหว่างวันซึ่งได้รับจากทางโทรศัพท์ งานใหม่จริง ๆ และทางจดหมาย รายการลักษณะนี้ถือเป็นรายการงานรายวัน ที่จะต้องทำ </span><br /><span style="color:#000000;"><br /><span style="color:#ff0000;">สรุป</span> “ใช้เวลาสัก 15 นาที ตอนสิ้นวัน เพื่อเตรียมทำรายการงานที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้น” ขั้นตอนต่อจากการจัดลำดับความสำคัญของงานตามรายการแล้วก็คือ ให้เลือกงานที่สำคัญที่สุด 3 งาน ที่จะต้องทำให้เสร็จก่อน ไม่ว่าจะเกิดอะไรในระหว่างวันนั้นก็ตาม ใส่หมายเลขเรียงตามความสำคัญ 1,2 และ 3 ตามลำดับ ในระหว่างวันอาจมีหลายวิกฤตการณ์ผุดขึ้นมากวนใจอย่างไม่คาดคิด หรือมีหลากหลายสิ่งอย่างเกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้วางแผนไว้ก่อน และจะต้องใช้เวลาจัดการกับมันอยู่ดี แต่ ต้องไม่ทำให้เราละทิ้ง 3 งานสำคัญหลักที่จัดลำดับไว้อย่างเด็ดขาด อย่าลืมว่า 3 งานหลักนั้นจะต้องดูแลและจัดการให้ได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น<br /><br /><span style="color:#ff0000;">สรุป</span> “เลือกงานที่สำคัญที่สุด 3 งานที่จะต้องทำให้เสร็จไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” หลังจากคุณบ่งชี้ 3 งานหลักที่ต้องจัดการแล้ว ขั้นตอนต่อมาอีกก็คือ ต้องดูแลงานที่ต้องทำที่มีความสำคัญเป็นอันดับสอง นั่นคือ กลุ่มงานที่มีหมายเลขความสำคัญลำดับ 4,5 และ 6 ของคุณ อย่างไรก็ตามงานเหล่านี้ต้องทำหลังจาก 3 งานสำคัญหลักเสร็จสิ้นก่อน เพราะอย่าลืมว่าคุณตัดสินให้ความสำคัญเป็นอันดับรองลงมานั่นเองแค่คุณติดตามขั้นตอนตามใบรายการ (“To Do” list) เพื่อควบคุมให้ดำเนินความผังรายการเท่านั้นก็เป็นพอ แต่ต้องพยายามทำให้ใบรายการเล็กเข้าไว้ ไม่ควรเกิน 8 รายการของงาน แล้วทำใบรายการรายวันที่จะต้องทำ ตอนที่กาหรือขีดฆ่างานที่ทำเสร็จแล้วออกจากรายการ คุณจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จของตน ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าคุณไม่สามารถทำทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียวได้ สิ่งที่ไม่อยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุดของวันนี้อาจเป็นลำดับต้น ๆ ปรากฏในใบรายการของวันรุ่งขึ้นก็ได้ ถ้าหากคุณจัดการในวันเดียวได้ถึง 6 รายการในใบรายการได้ ขอให้ภูมิใจได้ว่าวันนั้นคุณทำงานได้มากทีเดียว คุณอาจมีคำถามในใจว่าแค่ 5-6 งาน ตัวคุณทำได้ตามมาตรฐานหรือไม่ เพราะในแต่ละวันมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้มีการวางแผนไว้ก่อน คอยมาแทรกอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นให้เปรียบเทียบดังนี้ 5-6 งานที่ทำได้ในแต่ละวันนั้นเท่ากับว่าคุณทำได้ถึง 25-30 งานในหนึ่งสัปดาห์ทีเดียว </span><br /><span style="color:#000000;"><br /><span style="color:#ff0000;">สรุป</span> “คุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ภายในวันเดียว” การจัดลำดับความสำคัญนั้นทำให้คุณรู้ได้ว่า ทุก ๆ วันจะมีงานสำคัญ ๆ 3 งาน ที่จะต้องจัดการให้เสร็จก่อนเริ่มต้นทำงานในเช้าวันใหม่ที่จะมาถึง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการกับงานเหล่านั้นคือ พันธะสัญญาของคุณเอง คือคุณต้องพยายามหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อมาระงับยับยั้งนิสัยไม่ดีเก่า ๆ ของคุณเองให้จงได้ ด้วยวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้และรับรองได้ว่าใช้ได้จริงและช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น จะสังเกตได้อีกอย่างหนึ่งคือ คุณจะคลายความเครียดลงได้มากทีเดียว<br /></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLtiXGJGDjk2kZ94aOJ_uFcZYENTEw3Zt6FlbEUAoX3BANRkSG0fGunPkEg5clRsbNgoqYxWd8gaJwtNvW60GXH1XtSPe7XCyrvSts8q_I26W6rpIhodTdHZVTHNGZYpQfeXQfpr7_t5J_/s1600-h/DSC07854.JPG"></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhLtiXGJGDjk2kZ94aOJ_uFcZYENTEw3Zt6FlbEUAoX3BANRkSG0fGunPkEg5clRsbNgoqYxWd8gaJwtNvW60GXH1XtSPe7XCyrvSts8q_I26W6rpIhodTdHZVTHNGZYpQfeXQfpr7_t5J_/s1600-h/DSC07854.JPG"></a><br /><br /><span style="color:#000000;"><span style="color:#ff0000;">สรุป</span> “เลือกงานที่สำคัญที่สุด 3 งานที่จะต้องทำให้เสร็จไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” หลังจากคุณบ่งชี้ 3 งานหลักที่ต้องจัดการแล้ว ขั้นตอนต่อมาอีกก็คือ ต้องดูแลงานที่ต้องทำที่มีความสำคัญเป็นอันดับสอง นั่นคือ กลุ่มงานที่มีหมายเลขความสำคัญลำดับ 4,5 และ 6 ของคุณ อย่างไรก็ตามงานเหล่านี้ต้องทำหลังจาก 3 งานสำคัญหลักเสร็จสิ้นก่อน เพราะอย่าลืมว่าคุณตัดสินให้ความสำคัญเป็นอันดับรองลงมานั่นเองแค่คุณติดตามขั้นตอนตามใบรายการ (“To Do” list) เพื่อควบคุมให้ดำเนินความผังรายการเท่านั้นก็เป็นพอ แต่ต้องพยายามทำให้ใบรายการเล็กเข้าไว้ ไม่ควรเกิน 8 รายการของงาน แล้วทำใบรายการรายวันที่จะต้องทำ ตอนที่กาหรือขีดฆ่างานที่ทำเสร็จแล้วออกจากรายการ คุณจะรู้สึกได้ถึงความสำเร็จของตน ต้องยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าคุณไม่สามารถทำทุกอย่างให้เสร็จภายในวันเดียวได้ สิ่งที่ไม่อยู่ในลำดับความสำคัญสูงสุดของวันนี้อาจเป็นลำดับต้น ๆ ปรากฏในใบรายการของวันรุ่งขึ้นก็ได้ ถ้าหากคุณจัดการในวันเดียวได้ถึง 6 รายการในใบรายการได้ ขอให้ภูมิใจได้ว่าวันนั้นคุณทำงานได้มากทีเดียว คุณอาจมีคำถามในใจว่าแค่ 5-6 งาน ตัวคุณทำได้ตามมาตรฐานหรือไม่ เพราะในแต่ละวันมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นซึ่งไม่ได้มีการวางแผนไว้ก่อน คอยมาแทรกอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นให้เปรียบเทียบดังนี้ 5-6 งานที่ทำได้ในแต่ละวันนั้นเท่ากับว่าคุณทำได้ถึง 25-30 งานในหนึ่งสัปดาห์ทีเดียว </span><br /></span><span style="color:#000000;"><br /><span style="color:#ff0000;">สรุป</span> “คุณไม่สามารถทำทุกอย่างได้ภายในวันเดียว” การจัดลำดับความสำคัญนั้นทำให้คุณรู้ได้ว่า ทุก ๆ วันจะมีงานสำคัญ ๆ 3 งาน ที่จะต้องจัดการให้เสร็จก่อนเริ่มต้นทำงานในเช้าวันใหม่ที่จะมาถึง สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการกับงานเหล่านั้นคือ พันธะสัญญาของคุณเอง คือคุณต้องพยายามหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อมาระงับยับยั้งนิสัยไม่ดีเก่า ๆ ของคุณเองให้จงได้ ด้วยวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นเป็นวิธีการง่าย ๆ ที่สามารถเรียนรู้ได้และรับรองได้ว่าใช้ได้จริงและช่วยให้งานของคุณง่ายขึ้น จะสังเกตได้อีกอย่างหนึ่งคือ คุณจะคลายความเครียดลงได้มากทีเดียว</span>นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1781402167653416235.post-23745922255083895542007-10-07T11:18:00.000-07:002007-10-07T11:18:53.888-07:00เรื่องน่ารู้รอบตัว<span style="font-family:trebuchet ms;color:#cc0000;">ชุดคำถามที่ 1 หมวด เคล็ดลับแม่บ้าน</span><br /><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">1. ไข่ขาวสามารถใช้รักษาแผลน้ำร้อนลวกได้ จริงหรือ เฉลย จริง โดยใช้ไข่ขาว มาทาที่น้ำร้อนลวกให้ทั่วทิ้งไว้จนแห้ง ไปเอง แล้วรอสักพักใหญ่ๆ จึงล้างออกจะไม่มีรอยแดง หรือพองเลย ข้อสำคัญ ก่อนทาไข่ขาวอย่าให้ถูกน้ำเย็นหรือของอื่นเลย และอย่าไปแกะ หรือเกาตอนที่ใกล้จะแห้ง เพราะจะทำให้หนังถลอก</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">2. ยาหม่องสามารถใช้ขจัดหมากฝรั่งเปื้อนผ้าได้ จริงหรือ เฉลย จริง โดยการใช้ยาหม่องถูตรงยางเหนียวๆ ของหมากฝรั่งไปมา ไม่นานยางของหมากฝรั่งก็จะหลุดออกหมด แล้วจึงนำผ้าไปซักตามปกติ</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">3. ใส่หลอดในขวดซอสมะเขือเทศจะทำให้เทออกง่าย จริงหรือ เฉลย จริง โดยการใส่หลอดลงไปให้ลึกถึงก้นขวด เพื่อให้อากาศสามารถแทรกผ่าน เข้าไปในขวดได้ แล้วเทซอสมะเขือเทศ ก็จะไหลออกมาง่ายขึ้น</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">4. ถุงน่องแช่น้ำเกลือช่วยให้ถุงน่องไม่ขาดง่าย จริงหรือ เฉลย จริง โดยการนำเกลือ 2 ถ้วยผสมกับน้ำ 1 แกลอน แช่ถุงน่องใหม่ไว้นาน 3 ชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำเย็น ยกถุงน่องขึ้น มาตากให้น้ำหยดจนแห้ง ก็จะทำให้ถุงน่องคงสภาพ และเหนียวทนนาน</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">5. มันฝรั่งกำจัดกลิ่นปลาร้าติดมือได้ จริงหรือ เฉลย ไม่จริง แต่มันฝรั่งสามารถกำจัดกลิ่นหัวหอมติดมือได้ โดยการนำมันฝรั่งที่ปอกแล้ว มาถูมือที่มีกลิ่นหัวหอมติดอยู่ กลิ่นหัวหอมก็จะค่อยๆ จางหายไป</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">6. พริกแห้งใช้ไล่แมลงวันได้ จริงหรือ เฉลย จริง เวลาตากของแห้งไว้ จะมีแมลงวันมาตอม ให้เอาพริกแห้ง 5 - 6 เม็ด เสียบไว้รอบกระด้ง ไอร้อนของพริก จะทำให้แมลงวันไม่กล้าเข้าใกล้</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">7. เบียร์ช่วยคลายเกลียวขึ้นสนิมได้ เฉลย จริง ให้รินเบียร์ลงไปบนเกลียวขึ้นสนิมนิดหน่อย รอ 2-3 นาที ความเป็นกรดของเบียร์ จะช่วยขจัดสิ่งสกปรก และเศษสนิม ทำให้เกลียวหมุนเปิดได้ง่ายขึ้น</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">8. เอาผ้าไหมแช่ช่องแข็งจะทำให้รีดง่าย จริงหรือ เฉลย จริง การรีดผ้าไหม ควรใช้ไฟอ่อนๆ เพราะผ้าไหมจะไหม้เกลียม หรือเป็นสีเหลืองได้ง่าย แต่ถ้าผ้าไหมยับมาก ก่อนรีดควรฉีดพรมน้ำยาให้ทั่ว แล้วพับใส่ถุงพลาสติก นำไปแช่ในช่องแข็งของตู้เย็น ประมาณ 10 -15 นาที แล้วจึงนำออกมารีด จะทำให้รีดผ้าไหมได้ง่าย และเรียบยิ่ขึ้น</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"> 9. นำเหรียญสลึงใส่แจกันช่วยให้ดอกไม้ไม่เหี่ยวเฉาได้ จริงหรือ เฉลย จริง โดยให้หย่อนเหรียญสลึงลงไปในแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา</span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"></span><br /><span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;"> 10. ใบฝรั่งช่วยดูดกลิ่นได้ จริงหรือ เฉลย จริง โดยให้นำใบฝรั่งมาตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำ แยกกากใบออก น้ำมันหอมระเหยที่ได้ จะทำหน้าที่ดับกลิ่น ส่วนกากใบที่ได้ให้นำไปวางไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อช่วยดูดกลิ่นได้ </span>นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1781402167653416235.post-23816809846200047582007-10-07T11:01:00.000-07:002007-10-07T11:01:37.107-07:0010 พฤติกรรม ที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว<span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">เกร็ดความรู้มี 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็วมาบอกกัน...<br />1. ไม่ทานอาหารเช้า จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม 2. กินอาหารมากเกินไป จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น 3. สูบบุหรี่ สาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์ 4. ทานของหวานมากเกินไป ไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารเป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาขอ 5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดล<br /><br />6. อดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้ เพราะการนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน 7. นอนคลุมโปง ไปเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น ลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพ การทำงานของสมอง 8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว 9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ 10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง<br /><br />รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดีกว่า</span>นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1781402167653416235.post-57169598653306787212007-10-07T11:00:00.000-07:002007-10-07T11:00:22.874-07:00Dos & Don’ts ปัญหาคอนแท็คเลนส์<span style="font-family:trebuchet ms;color:#000000;">Dos ทำความสะอาดคอนแท็คเลนส์ในน้ำยาทำความสะอาดไม่กว่าน้อย 4 ชั่วโมงหรือ ตามระยะเวลาตามที่ฉลากกำหนด หลังจากทำความสะอาดเลนส์เรียบร้อยแล้ว ควรเก็บเลนส์ในภาชนะที่สะอาดอยู่เสมอ เปลี่ยนเลนส์ตามคำแนะนำหรือระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากคอนแท็คเลนส์มีอายุการใช้งานที่จำกัดแตกต่างกันไป หากคอนแท็คเลนส์ฉีกขาด จนทำให้ตาระคายเคือง บวม ตาแดง มองไม่ชัด หรือไวกว่าแสงเพิ่มขึ้น ควรรีบถอดออกทันที ก่อนพบและปรึกษาในจักษุแพทย์ พกแว่นตาสำรองติดตัว ในกรณีที่คอนแท็คเลนส์ฉีกขาดหรือหล่นหาย<br /><br />Don’ts สำหรับผู้เริ่มใช้เป็นครั้งแรก ไม่ควรซื้อคอนแท็คเลนส์ด้วยตัวเอง เนื่องจากอาจได้ชิ้นเลนส์ที่ไม่เหมาะกับขนาดของดวงตา ซึ่งปัญหานี้ก็สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ ด้วยการพบและปรึกษาจักษุแพทย์ ไม่ใส่คอนแท็คเลนส์ขณะว่ายน้ำ ไม่ใส่คอนแท็คเลนส์ขณะที่คุณนอนหลับ ไม่ใช้คอนเเท็คเลนส์ร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากเป็นเลนส์สัมผัส อาจทำให้มีการติดเชื้อเกิดขึ้นได้ ไม่สัมผัสเลนส์ขณะมือสกปรก ทางที่ดีควรล้างมือให้สะอาดและรอให้แห้งก่อนสัมผัสเลนส์ทุกครั้ง</span>นางสาวสุปราณี บุญเลิศhttp://www.blogger.com/profile/14952190823980229459noreply@blogger.com0